สรุป!! งานเปิดตัว Apple Event มีอะไรบ้าง ทุกข้อมูล ครบ จบ ในตัว! ทั้ง iPad iPhone Macbook คุ้มค่าต่อการซื้อ หรืออัพเกรดมากแค่ไหน ไปดู!!

ในทุกสุด ทุกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ Apple ก็ถูก Apple Event เปิดตัวทุกอย่าง ครบหมดแล้ว ต้องบอกเลยว่า งานเปิดตัว Apple ครึ่งปีหลัง ในปี 2021 นี้ผลิตภัณฑ์ Apple ถูกเปิดตัวในงานมากมาย และหลายอย่างอัพเกรดอย่าง “ว้าว” ขึ้นพอสมควรเลย ในบทความนี้ เราจะสรุปข้อมูลทุกอย่าง ที่คุณต้องการ เกี่ยวกับงานเปิดตัว Apple Event ทั้งสองครั้ง ให้จบครบในตัว คุ้มค่าต่อการเสียเงินซื้อหรือไม่ ไปดู!!

สารบัญ

Apple California streaming

Apple Event เปิดตัว

Apple Unleashed 

เปิดตัว Apple

1. iPhone 13 Series

เปิดตัว Apple

แน่นอนว่า iPhone 13 คือสิ่งที่ทุกคน ลอยคอ รอคอยกันในงานนี้ และ Apple Event เลือกที่จะเปิดตัว iPhone 13 เป็นลำดับสุดท้ายกันเลยทีเดียว โดย iPhone 13 Series นั้นได้แบ่งแยกย่อยเป็น 2 รุ่นเหมือนเดิม

ได้แก่ iPhone 13 ที่มีหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 13 Mini ที่มีหน้าจอ 5.4 นิ้ว

โดย จุดเด่น ของ iPhone 13 ที่อัพเกรดจาก iPhone 12 หลักๆ แบ่งเป็น 3 อย่าง เลยก็คือ

1. เรื่องของ ดีไซน์ติ่งที่หน้าจอที่มีความเล็กลง มีสีสันที่สวยงาม น่าจับจองมากกว่า iPhone 12 เรียกได้ว่าถูกใจแฟนๆเลย

2. มีการอัพเกรดแบตเตอรี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อึดกว่า iPhone 12 แบบเห็นได้ชัดเจน

3. รวมถึงการอัพเกรดเซ็นเซอร์กล้องให้ใหญ่ขึ้น สามารถจัดการแสงเงาได้สวยสมจริงยิ่งขึ้น และถ่ายวีดีโอด้วยโหมดใหม่ Cinematic mode ทำให้สามารถถ่ายทำ Video ได้ไม่แพ้มืออาชีพเลยทีเดียว

4. อีกทั้งยังอัพเกรด ชิป เป็น A15 รุ่นล่าสุด อัพเกรดชิปรับสัญญาณ 5G ได้ดียิ่งขึ้น และปรับดีไซน์กล้องหลังเป็นแบบแนวทะแยงเล็กน้อย 

หากเพื่อนๆ สนใจที่จะซื้อ iPhone 13 หรือ iPhone 13 Mini จริงๆ ให้ลองอ่านบทความนี้ ดูก่อน สำหรับรายบละเอียดทั้งหมดของ iPhone 13 และ 13 Mini รวมในนี้ให้เพื่อนๆ หมดแล้วครับ

>>  เปรียบเทียบเชิงลึก! iPhone 13 ต่างกับ iPhone 12 อย่างไร ตัดสินใจอัพเกรดดี หรือไม่ 

 

2. iPhone 13 Pro Series

เปิดตัว Apple

ถัดจาก iPhone 13 ก็คือการเปิดตัว iPhone 13 Pro นั่นเอง ก็เป็นสิ่งที่ทุกคน รอคอยในงาน Apple Event เปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่แพ้กัน โดยเจ้า iPhone 13 Pro รอบนี้ยังคงคอนเซปเดิม

ก็คือ iPhone 13 Pro ที่มีหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 13 Pro Max ที่มีหน้าจอ 6.5 นิ้ว

โดย จุดเด่น ของ iPhone 13 Pro ที่อัพเกรดจาก iPhone 12 Pro หลักๆ แบ่งเป็น 3 อย่าง เลยก็คือ

1. เรื่องของดีไซน์ติ่งที่หน้าจอมีความเล็กลงเช่นเดียวกันกับ iPhone 13 แต่สีสันไม่ถูกปรับเปลี่ยนมากมายนัก โดยมี 4 สี สีโทนคงเดิม นั่นคือ Graphite Gold Silver และ สีน้ำเงิน แต่สีน้ำเงินนนั้น จะเป็นสีน้ำเงินแบบใหม่ นั่นคือ สีน้ำเงิน Sierra Blue ซึ่งเปลี่ยนแปลงจาก Pacific Blue ใน iPhone 12 Pro นั่นเอง

2. มีการอัพเกรดแบตเตอรี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อึดกว่า iPhone 12 Pro แบบเห็นได้ชัดเจน รวมถึงในรุ่น iPhone 12 ProMax นั้นอึดกว่าเดิมแบบโหดมากเลยทีเดียว

3. การอัพเกรดเซ็นเซอร์กล้องให้ใหญ่ขึ้น สามารถจัดการแสงเงาได้สวยสมจริงยิ่งขึ้น และยังสามารถ Zoom แบบ Optical ได้ 3X และ Zoom รวมทุกเลนส์ได้สูงสุด 6X รวมถึงมีการปรับระยะ โฟกัสให้ใกล้ขึ้น ทำให้สามารถถ่ายแบบ Macro กับสิ่งของเล็กๆ ได้ด้วยนั่นเอง

4. ถ่ายวีดีโอด้วยโหมดใหม่ Cinematic mode อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งให้ถ่ายแบบวีดีโอแบบ Pro Res ซึ่งสามารถนำไฟล์ ไปทำงานต่อได้มากยิ่งขึ้น เช่น การปรับสี เกรดสี ดึง Contrast ต่างๆ ในงานแบบมืออาชีพเลยทีเดียว

5. อีกทั้งยังอัพเกรด ชิป เป็น A15 รุ่นล่าสุด อัพเกรดชิปรับสัญญาณ 5G ได้ดียิ่งขึ้น แต่กล้องในรุ่น Pro จะยังคงดีไซน์เดิม เพียงแต่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น

หากเพื่อนๆ สนใจที่จะซื้อ iPhone 13 Pro หรือ iPhone 13 Pro Max จริงๆ ให้ลองอ่านบทความนี้ ดูก่อน สำหรับรายบละเอียดทั้งหมดของ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max รวมในนี้ให้เพื่อนๆ หมดแล้วครับ

>>  เปรียบเทียบเชิงลึก! iPhone 13 Pro ต่างกับ iPhone 12 Pro อย่างไร ตัดสินใจอัพเกรดดี หรือไม่ 

 

กลับสารบัญ

3. iPad mini 6

เปิดตัว Apple

สำหรับคนที่ใช้ iPhone 12 หรือ iPhone 12 Pro บางคนอาจจะว้าวมากพอในสเปคของ iPhone 13 ของบอกเลยว่าในการเปิดตัว iPad Mini 6 รอบนี้ มาแย่งซีนทุกซีนเลย เพราะ iPad Mini 6 รอบนี้มีการอัพเกรดมาแบบชนิดที่ว่า โหดมาก! เกินเบอร์ ทำเอา iPad Air 4 ที่เปิดตัวล่าสุดไป มีเขินกันเลยนะบอกตรงๆ!

1. โดย iPad Mini 6 ยังคง คอนเซปเดิมคือ iPad สำหรับคนชอบจอเล็กๆ โดยมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 8.3 นิ้ว เรียกว่า ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ พอดีสำหรับหลายๆคน จึงทำให้หลายๆคน หลงรัก จอแบบนี้เลย

2. อีกทั้ง ยังอัพเกรดสเปคและเปลี่ยนดีไซน์ที่หลายๆคนหลงไหล นั่นก็คือ ดีไซน์เดียวกับ iPad Pro ที่ไร้ซึ่งปุ่ม Home สุดแสนจะโบราณ สามารถเหน็บ Apple Pencils Gen 2 ชาร์จแบบไร้สายได้ และมาพร้อมกับสแกนนิ้วมือแบบเดียวกับ iPad Air 4

3. มี สีให้เลือกสวยงาม และดีงามมาก และยังมาพร้อมกับ การชาร์จแบบ USB-C และ CPU Apple A15 ตัวใหม่ล่าสุด ตัวเดียวกับ iphone 13 อีก!

เรียกได้ว่าเป็นพระเอกในงาน Apple Event เปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในครั้งนี้กันเลยทีเดียว หากเพื่อนๆ สนใจที่จะจับจอง Ipad Mini Gen 6 ให้เพื่อนๆ เข้าไปอ่านรายละเอียดเปรียบเทียบเชิงลึก ประกอบการตัดสินใจได้ใน

>> เปรียบเทียบเชิงลึก! iPad Mini 6 ต่างกับ iPad Mini 5 อย่างไรบ้าง! มันอัพเกรดจนต้องจัดแล้วมั้ย!

4. iPad 2021 gen 9 (9th)

เปิดตัว Apple

สำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่มีงบประหยัด ต้องการใช้ iPad ในการเรียน การทำงาน ต้องเฝ้ารอ iPad รุ่นธรรมดา อยู่อย่างแน่นอน โดยเจ้า iPad รุ่นธรรมดานี้ มีชื่อเรียกง่ายๆ ว่า iPad บวกด้วย ปีที่ออก เช่น iPad 2021 หรือ สามารถเรียกตาม Generation ซึ่งมีมาทั้งหมดถึง 8 Gen แล้ว และในรุ่นล่าสุดนี้ ก็คือ iPad 2021 Gen9 นั่นเอง

ความโดดเด่นของ iPad 2021 Gen 9 ก็คือ ราคาที่ย่อมเยาและเพียงพอต่อการใช้งานพื้นฐานนั่นเอง โดย ความน่าสนใจของ iPad Gen 9 ก็คือ ราคาเมื่อเทียบกับฟังก์ชั่นที่ได้ ต้องบอกว่า Gen 9 นั้นมีราคาเพิ่มขึ้นจาก รุ่นที่แล้วเล็กน้อย โดยมีราคา เริ่มต้น 11,400 ในขณะที่รุ่นก่อนหน้า คือ 10,900 นั่นเอง

แต่เมื่อเทียบกับ สเปคที่ได้ ต้องบอกเลยว่า iPad 2021 Gen 9 นั้นมีสเปคที่คุ้มค่าต่อการเพิ่มเงินเพียง 500 บาทอย่างมาก

1. เริ่มต้นจาก คุณจะได้รับความจุเริ่มต้น 64GB ซึ่งเป็นความจุที่ผมพูดไว้หลายครั้งแล้ว ว่ามันเพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบันมากๆ เมื่อเทียบกับ 32 GB ที่จัดว่าไม่เพียงพอเอาซะแล้ว

2. ได้อัพเกรดเป็นชิป A13 Bionic ที่ใช้ใน iPhone 11 และ 11 Pro ชิปตัวนี้ถึงจะเก่าไปราวๆ 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพดี ใช้งานได้ดีมาก และรองรับการอัพเกรดได้ยาวๆ หากคุณไม่เชื่อ ลองมองไปรอบๆ จะพบว่า คนที่ยังใช้ iPhone 11 , 11 Pro ยังมีเยอะแยะเต็มไปหมด

3. มาพร้อมกับการปรับปรุง กล้องหน้า จากเดิมที่ ความละเอียดเพียง 1.2 MP จัดว่าแย่มาก ให้เป็นกล้องหน้าความละเอียด 8 MP ซึ่งเป็นตัวเดียวกับ iPad Pro 10.5 นั่นเอง และยังสามารถบันทึก Video แบบ Full-HD ได้แล้วด้วย ทำให้การประชุม Zoom หรือเรียนออนไลน์ อัดวีดีโอทำ Vlog ต่างๆ ทำได้ดียิ่งขึ้น

4. มีการปรับหน้าจอให้มีสีดำล้วน ในด้านหน้า จากเดิมที่มีสีตามสีเครื่อง ทำให้เวลาปิดจอ ดูดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

คาดว่าครั้งนี้การเปิดตัว iPad 2021 Gen 9 ได้ราคาดีเลยทีเดียว นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่จำกัดงบ ต้องถูกใจรุ่นนี้อย่างแน่นอน ถึงจะไม่ได้ปรับโฉมใหม่หมด เหมือน iPad Mini 6 แต่เมื่อเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าน่าสนใจอยู่ดี หากสนใจซื้อ iPad 2021 Gen 9 ลองอ่านบทความเปรียบเทียบ ประกอบการตัดสินใจได้อย่างละเอียด กดลิงค์ได้เลย

>> เปรียบเทียบเชิงลึก! iPad 2021 Gen 9 ต่างกับ iPad 2020 Gen 8 อย่างไรบ้าง! คุ้มค่าต่อการอัพเกรดหรือไม่!

5. Apple watch series 7

เปิดตัว Apple

สำหรับการเปิดตัว Apple watch series 7 รุ่นใหม่นี้ ต้องบอกว่ามีการอัพเกรดไม่มากนัก เมื่อเทียบกับข่าวลือก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น จอขอบเหลี่ยม จอเต็มขอบ และสีใหม่ๆ แต่ทว่า วันเปิดตัวจริง ยังคงใช้ Design แบบเดิมคือ ขอบกลมมน ซึ่งเป็น ดีไซน์ดั้งเดิมมาอย่างช้านาน

โดยข้อดีของ Apple Watch ซีรีส์ 7 คือ

1. มีการอัพเกรดหน้าจอ ให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย โดยหน้าจอที่ชิดเต็มขอบมากขึ้น ทำให้ดูใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังอัพเกรดตัวเรือนให้ใหญ่ขึ้น เริ่มต้นที่ 41mm และ 45mm จากเดิมคือ 42mm และ 44 mm นั่นเอง รวมทั้งมีความสว่างมากขึ้น ทำให้เหล่มอง นาฬิกา แบบไม่ปลุกเครื่อง (Alway On) ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

2. น้าปัดแบบใหม่ ซึ่งต้องมีอัพเดทเพิ่มทุกๆครั้ง เป็นประจำอยู่แล้ว พร้อมกับ โทนสีแบบใหม่ นั่นคือ สีน้ำเงินใหม่นั่นเอง

3. แข็งแรงมากขึ้น ชาร์จไวขึ้น และกันน้ำกันฝุ่นได้มากขึ้น แต่รุ่นเก่าก็ถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว

4. สาย Apple Watch รุ่นเก่า สามารถใส่ได้กับ Apple Watch รุ่นใหม่ แต่สายรุ่นใหม่ ไม่สามารถใส่รุ่นเก่าได้นะ

 

สำหรับ Apple Watch Series 7 ผมมองว่าเป็น Minor Upgrade แบบเล็กมากๆ สำหรับใครที่ยังมีเรือนเก่า ก็สามารถใช้งานได้ต่อ แอดเองก็ยังคงใช้ Series 5 อยู่ และใช้งานได้อย่างดี และไม่มีอาการงอแงแต่อย่างใด แต่สำหรับใครที่อยากจะได้ Apple Watch เรือนแรก ก็ต้องเป็น Series 7 ใหม่ล่าสุดนี้เท่านั้นครับ

6. ชิป Apple M1 Pro

เปิดตัว Apple

เรื่องที่ฮือฮาที่สุดในรอบ 10 ปีของ สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ในเครือ Apple นั่นก็คือ การเปลี่ยนชิปประมวลผล จากเดิมเป็นของ Intel ซึ่งใช้งานมาอย่างยาวนาน เปลี่ยนเป็น Arm ที่ออกแบบโดย Apple เอง นั่นคือ ชิป Apple M1 และมีกระแสตอบรับ ในแง่บวกเป็นจำนวนมาก

ถึงจะโดนแซวจากค่ายคู่แข่งเล็กน้อยเรื่อง ประสิทธิภาพ แต่ในครั้งนี้ Apple ได้เปิดตัวชิปประมวลผล ที่ได้รับการอัพเกรด สเปคให้โหด เรียกได้ว่า ตบหน้ากันเป็นฉาดๆ เลยทีเดียว!

การเปิดตัว Apple M1 Pro ในครั้งนี้ เป็นชิปประมวลผลรุ่นล่าสุด ที่อัพเกรด Memory Bandwidth มากขึ้นถึง 3 เท่าจาก M 1 แบบธรรมดา และมีโครงสร้างทรานซิสเตอร์ที่ใหญ่กว่า M1 อยู่มาก

รวมทั้งยังมีแกน CPU เป็นแบบ Hybrid (8+2 คอร์) ที่เริ่มยอดนิยมมากขึ้นในปัจจุุบัน เริ่มต้นด้วยเสปค CPU 8 Core แรก ซึ่งเป็นแกนที่มีประสิทธิภาพสูง รองรับการประมวลผลหนักหน่วง และเมื่อ ต้องการหิ้วไปใช้งานนอกบ้าน ต้องการประหยัดพลังงานให้อยู่ได้นานที่สุด ก็จะสลับไปใช้ 2 แกน ที่เป็นแกนสำหรับประหยัดพลังงาน โดยรวมจึงมีทั้งหมด ถึง 10 คอร์ ซึ่งสามารถเทียบเท่ากันกับ Intel Core i9 Gen 10 แต่เทคโนโลยีใหม่กว่า (Apple M1 Pro เป็นแบบ 5nm แต่ Intel Core i9 Gen 10 เป็นแบบ 14nm+++ ) และยังอยู่เหลื่อมกันระหว่าง AMD Ryzen 5800x กับ 5900x ด้วย

ในด้านการรองรับ แรม สามารถรองรับได้สูงสุด 32GB และมีชิปกราฟฟิคแบบ 16 แกน ซึ่งเร็วแรงกว่าเดิม ราวๆ 2 เท่า

 

7. ชิป Apple M1 Max

เปิดตัว Apple

ถ้าหากชิป Apple M1 Pro เป็นชิปแบบ Mainstream เทียบเป็นเรือธงทางฝั่ง Desktop ก็คือ ถ้าชน Intel Core i9 และ AMD Ryzen 7 , 9 แล้วคิดว่าเพียงพอแล้ว? ไม่ครับ

เพราะ Apple ยังมุ่งเป้ากับตลาด Hi-End แบบครบวงจร เหมือนที่ทาง Intel X299 และ AMD X399  จึงทำให้กำเนิดชิป Apple M1 Max ขึ้นมา ซึ่งเป็นชิปประมวลผลระดับ Hi-End นั่นเอง

Mainstream คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป มีทั้งเริ่มต้น จนถึงหนักหน่วง เช่น Intel Core i3 i5 i7 รวมถึง i9 เป็นต้น

Hi-End คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานแบบ Professional หรือเฉพาะทางมากๆ เช่นวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูง ตัดต่อวีดีโอ 3D ระดับภาพยนต์ โดยเครื่องแบบ Hi-End จะมีชิปประมวลผลที่ขนาดใหญ่กว่าทั่วไป และมีสเปคเริ่มต้นก็สูงกว่าแบบ Main stream แล้ว เช่น Intel Core i9 รหัส Extreme หรือ AMD Ryzen 9 TR4 เป็นต้น

และสำหรับ Apple M1 Max ก็เจาะผู้ใช้ตลาด hi-end โดยมีการออกแบบตัวชิปที่ใหญ่ขึ้นกว่าทั่วไปมาก และมีการบรรจุ ทรานซิสเตอร์อย่างมากมายมหาศาลถึง 5.7 หมื่นล้านทรานซิสเตอร์ (M1 Pro มี 3.37 หมื่นล้าน , M1 มี 1.6 หมื่นล้าน)

และสเปคของชิปกราฟฟิคนั้นแน่นอนว่าอัพเกรดมามากกว่า M1 Pro แบบสองเท่า โดยมีแกนประมวลผลที่ 32 แกน และมี Memory Bandwidth มากกว่า อีกทั้งยังรองรับ Ram ได้สูงสุด 64 GB

ดูเหมือนว่าสเปคของคอร์ ใน CPU ของ M1 Pro และ M1 Max จะไม่แตกต่างกันมาก แต่ทั้งสองโครงสร้างนั้นมีค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม M1 Max ยังไม่มีผลเทสจากผู้ใช้งานจริง เมื่อเทียบกับฝั่ง Desktop ที่อยู่ในระดับ Hi-End ล่าสุดอย่าง AMD Ryzen 9 5950X ที่มี 16 คอร์ 32 เทรด ซึ่งเป็นเทคโนโลยี 7nm ล่าสุดของทาง AMD ว่าประสิทธิภาพแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด (ที่ยังไม่เทียบกับ X399 และ X299 ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าแล้ว)

แต่ดูจากราคาแล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่า M1 Max นั้นเปิดตัวที่ 124,000 บาท อยู่ในระดับ Hi-End ของทางฝั่ง Apple จริงๆ

ส่วน M1 Pro อยู่ในระดับเรือธงของฝั่ง Mainstream ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 73,900 และสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ที่ราคา 42,900 จะเป็นชิป M1 รุ่นปกตินั่นเอง

Apple คงทำให้รู้ว่า ต่อไปใครล้อว่าชิป M1 ของข้าไม่แรง จงหุบปากแล้วจ่ายเงินมาซะ ฮ่าๆ

 

8. Macbook Pro รุ่นใหม่ (M1 Pro , M1 Max)

เปิดตัว Apple

พูดถึงชิปรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นอย่าง M1 Pro และ M1 Max เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวอุปกรณ์ที่ใช้ชิปดังกล่าว นั่นก็คือการเปิดตัว Macbook Pro รุ่นใหม่นั่นเอง

โดยเปิดตัวมาทั้งหมด 2 รุ่น แบ่งตามขนาดจอ ก็คือ จอใหญ่ 16 นิ้ว จอเล็ก 14 นิ้ว มีสเปคการใช้ชิป M1 Pro แทบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น 16 นิ้วตัวที่แพงที่สุด จะใช้ M1 Max และมีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบอื่นๆ นิดหน่อย

1. มีการปรับให้ขอบจอบางลง และนำติ่ง บน iPhone มาใช้ใน Macbook เหมือนกัน แต่ไม่มี Face ID แบบ Iphone ซะงั้น (ไม่เข้าใจจะเอามาทำไม??) ส่วนดีไซน์ภายนอกยังไม่แตกต่างมากนัก

2. หน้าจอเป็นแบบ Mini LED แบบเดียวกับ iPad Pro และมีเทคโนโลยี Pro motion แบบเดียวกับ iPhone 13 ที่ทำให้จอมี Refresh Rate อยู่ที่ 120Hz

3. ตัด Touchbar ทิ้ง (ตัดอีกแล้ว) แต่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่เคยถูกตัดหายไปอย่าง HDMI และ SD Card Reader (แล้วจะตัดออกแต่แรกทำไมน้อ) และพอร์ต Magsafe สำหรับรองรับการชาร์จ

4. อัพเกรดกล้องเป็น Full-HD 1080p ทำให้คมชัดมากในการใช้งาน วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ เช่น Zoom เป็นต้น

5. ระบบระบายความร้อนดีขึ้น จากพัดลม 2 ตัว แบบเดียวกับ Gaming Notebook ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อดีของ Macbook Pro รุ่นใหม่นี้ที่สุดแล้ว เพราะจะทำให้ทำงานหนักหน่วงได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวเครื่องร้อนจนต้องดรอป ประสิทธิภาพนั่นเอง

6. สุดท้ายแล้วคงเป็นเรื่องของระบบเสียง ที่ถูกอัพเกรดให้เบสหนักหน่วงยิ่งขึ้น และแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสูงสุด 17 ชั่วโมงในรุ่น 14 นิ้ว และ 21 ชั่วโมงในรุ่น 16 นิ้ว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุคส์อื่นๆ ก็ถือว่าแบตอึดมากๆ และรองรับ Fast Charge ชาร์จเต็มภายใน ครึ่งชั่วโมง อีกด้วย WOW!

เรียกได้ว่า Apple Event เปิดตัวชิป M1 Pro M1 Max และ Macbook ได้อย่างโหดแบบชนิดที่ไม่ไว้หน้าค่ายอื่นเลยทีเดียว สำหรับคนที่สนใจ และกำลังตัดสินใจแต่ไม่รู้จะเลือกรุ่นไหนดี ลองดูสเปคต่างๆ แบบละเอียด ในบทความนี้

>> เปรียบเทียบเชิงลึก! Macbook ทั้ง 3 รุ่น 3 ระดับ เล่นรุ่นไหนเหมาะกับตัวเราดี!

 

กลับสารบัญ

9. Airpods 3 (3rd Gen)

เปิดตัว Apple

หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน สำหรับ Airpods ที่ไม่ได้พูดถึงเลย หลังจาก Airpods 2 เปิดตัวมา

และ Airpods Pro เองที่ยอดนิยมเพิ่มขึ้น แต่จริงๆ Airpods แบบธรรมดา ก็ไม่ได้ตกความนิยมลงเลย ครั้งนี้ จึงเปิดตัว Airpods รุ่นใหม่ โดยเป็นรุ่นที่ 3 หรือเรียกรวมๆว่า Airpods 3 นั่นเอง

แต่การเปิดตัว Airpods 3 ในครั้งนี้นั้น ไม่ได้เปิดตัวมาเพื่อแทนที่ Airpods Pro แต่อย่างใด และก็เหมือนไม่ได้จะแทนที่ Airpods 2 รุ่นเก่าด้วย

เพราะว่า Airpods Pro นั้นถูกวางไลน์อัพให้เป็นหูฟังที่ตัดเสียงได้ดีที่สุด เพราะลักษณะของหูฟังจะเป็นแบบ In-Ear ซึ่งเน้นตัดเสียงภายนอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งหูฟังแบรนด์อื่นๆ ที่เป็น In-Ear ก็ตัดเสียงได้ดีไม่แพ้กัน

แต่สำหรับ Airpods ธรรมดานั้นมีลักษณะของหูที่เหมือนกับหูฟังที่เคยแถมฟรีในกล่อง iPhone เป็นลักษณะของ Ear-Bud ที่ใส่สบาย ไม่เจ็บหู แต่จะต้องแลกกับการตัดเสียงรบกวนไม่ค่อยเก่ง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ก็แตกต่างกัน คนที่นิยมชมชอบในการใส่สบายๆ ก็จะเลือก Airpods แต่ใครเน้นเรื่องเสียงมากก็จะเลือกรุ่น Pro

และ Airpods 3 เองก็ต่อยอดมาจาก รุ่น Pro แต่เพียงเป็นการออกแบบให้เป็นแบบ Ear-bud นั่นเอง

นอกจาก ดีไซน์ที่สั้นลง และเคสชาร์จคล้ายรุ่น Pro สเปคที่อัพเกรดขึ้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของ แบตเตอรี่ที่ดีขึ้น ฟังได้ยาวนาน 6 ชั่วโมงด้วยการชาร์จเพียง 5 นาที รวมถึงรองรับ Magsafe ด้วย

และการให้เสียงแบบ Spatial Audio (เสียงรอบทิศทางเพิ่มอรรถรส) และ Adaptive EQ ที่ Airpods รุ่นเก่าเองก็อาจจะสามารถอัพเดทได้ 

นอกจากนั้นก็ไม่แตกต่างจาก Airpods รุ่นเดิมเท่าไหร่นัก โดยมีราคาเปิดตัวคล้ายคลึงกับ Airpods รุ่นเดิมๆคือราวๆ 6,790 บาท

หากใครต้องการให้ Airpods ที่ใช้นั้นสั้นลง เคสชาร์จดู Pro ขึ้น และต้องการ Magsafe ก็สามารถตัดสินใจอัพเกรดได้ครับ แต่ถ้าไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ Airpods 2 เองก็ยังดีอยู่มาก 

10. Homepod Mini สีใหม่

เปิดตัว Apple

Homepod คือลำโพงพกพาของ Apple ที่มีดีไซน์ Minimal น่ารัก ที่มีความอัจฉริยะ ในยุคสมัยนี้ เช่น การสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri , การควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมภายในบ้าน รวมถึงชิปเสียง Apple S5 ที่ให้เสียงได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

Homepod นั้นมีขนาดเล็กเพียง 3.3 นิ้ว และมีทั้งหมดสองสี คือ สีขาว และ เทาสเปซเกรย์ แต่ในงาน Apple Unleased ทีผ่านมา ได้เปิดตัวเพิ่มอีก 3 สีด้วยกัน คือ สีเหลือง ส้ม และน้ำเงิน สวยงามและน่านำมาแต่งให้เข้ากับ ตีมของบ้านมาก

แต่น่าเสียดาย ที่ Homepod ในงาน Apple Event เปิดตัวมาทั้งหมดนั้น มีขายแค่ในประเทศ สหรัฐอเมริกาเท่านั้นครับ 

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ งาน Apple Event เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จัดขึ้นสองครั้งในครึ่งปี 2021 นี้ แอดได้รวบรวมมาให้ทุกๆคนได้ อ่านกันอย่างจุใจเลย หวังว่าใครกำลังชิ้นไหนอยู่ น่าจะวางแผนซื้อกันได้แล้วนะครับ

 

หากชอบบทความของเรา สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการ

 กดไลค์ GagangTech และติดตามช่อง Youtube GagangTech

– แล้วไว้เจอกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ –

ติดตามพวกเราได้ที่

Website

Facebook

Youtube

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.