5 ข้อกับ “Metaverse” ทำได้จริงหรือขายสิ่งที่เรียกว่าฝัน?

Metaverse มีความโด่งดันขึ้นทันที เมื่อ Mark Zuckerberg ทำการชิงจดทะเบียน และเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook ของตนเอง ให้กลายเป็นบริษัท Meta เพื่อเดินหน้ามอบประสบการณ์ท่องโลกอินเทอร์เน็ตครั้งใหม่ ให้กับมวลมนุษย์ชาติ

ซึ่งเจ้า Metaverse นี้ก็ยังถือว่าเป็นคำศัพท์ที่ใหม่มาก และอาจจะยังไม่รู้จักกันในวงกว้าง สิ่งที่ เฮีย Mark ทำก็เป็นการประกาศให้รู้ว่า ถ้าปังขึ้นมา ตนเป็นคนเริ่มนั่นเอง โดยนอกจากเปลี่ยนชื่อบริษัทแล้ว ยังมี Presentation เกี่ยวกับ Meta verse ให้รับชมอีกด้วย

ซึ่งทำให้ผู้คนรู้จักกับ Meta verse ในวงกว้างได้มากขึ้น แต่ก็แน่นอน มันค่อนข้างว้าว เมื่อเห็น Presentation  เชื่อว่าทุกคนต้องร้องโอ้โห นี่มันเป็นดั่งโลกในอนาคตอย่างแน่แท้ ลืมโซเชียลเน็ตเวิร์กเก่าๆ ที่เคยเล่นไปได้เลย แล้วมาพบกับ Meta verse!

เชื่อเถอะ เมื่อคุณได้ดูวีดีโอ Presentation ดังกล่าวแล้วจะต้องร้องว้าวววอย่างแน่นอน แต่วันนี้ อยากให้เบรกก่อน มาลองอ่านอีกแง่มุมนึง ในมุมมองของแอด ที่เคยทำงานอยู่ในแวดวงของสิ่งที่คล้ายๆกับ Meta verse เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ของ Meta verse ว่าทำไมแอดถึงยังไม่ว้าวกับมันสักเท่าไหร่! แล้วลองตัดสินดูครับ กับ บทความ 5 ข้อของ “Metaverse” ทำได้จริง หรือขายสิ่งที่เรียกว่าฝัน!

ข้อที่ 1 ความเป็นมาของ Metaverse

Metaverse นิยามแบบง่ายๆ คือ การใช้ชีวิตหรือประสบการณ์ในโลกเสมือนจริง หากคุณนึกไม่ออก ให้ลองดูหนังเรื่อง Ready Player One ซึ่งเป็นหนังที่ทุกคนเข้าไปใช้ชีวิตในเกมนั่นเอง

ซึ่งเริ่มต้นจาก สมัยก่อนเลย การติดต่อสื่อสารโดยไร้อินเทอร์เน็ต นั้นก็ต้องผ่าน การนัดพบปะพูดคุยตัวต่อตัวเอย นกส่งจดหมายเอย เราขอเรียกยุคนั้น ว่า ยุคโบราณ หรือ ยุค 0 แล้วกัน

Metaverse

และแล้วก็มาถึงยุคถัดไป คือยุคที่ 1 หรือ ยุคอนาล๊อค ซึ่งเพิ่มความอำนวยสะดวกในการติดต่อสื่อสารกัน โดยไม่ต้องเดินทางไปพบปะกันได้ ด้วยการโทรผ่านสัญญาณโทรศัพท์ , ประกาศข่าวผ่านสัญญาณวิทยุ  หรือส่งข้อความผ่าน เพจเจอร์ ส่งจดหมายผ่านการโทรสาร โทรเลข เป็นต้น

Metaverse

ต่อมา ก็ได้ค้นพบว่า การสื่อสารแบบยุคที่ 1 เป็นการสื่อสารที่จำกัดอย่างมาก ไม่สามารถทำได้ทันท่วงที บางครั้งไม่ทันการนั่นเอง จึงก่อกำเนิดยุคที่ 2 คือยุคดิจิทัล โดยใช้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์มีบทบาทในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น สิ่งที่ยอดนิยมในยุคที่ 2 ก็คือ โทรศัพท์มือถือ Email (จดหมายอิเล็กทรอนิกส์)  รวมถึงสิ่งที่ยอดนิยมคือการส่ง SMS (Short Message Service) นั่นเอง ทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารกันได้ทันท่วงที มากยิ่งขึ้น

Metaverse

โดยยุคที่ 2 นั้นกินเวลานาน และยังคงมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ แต่ค่อยๆเสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ เนื่องจาก ข้อจำกัดของยุคที่ 2 นั้นมีหลายประการ โดยประการใหญ่ๆเลยก็คือ ความต้องการพูดคุยแบบ เห็นหน้า (Face to Face) ของมนุษย์นั้นมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องการได้ยินแค่เสียงอีกต่อไปแล้ว จึงทำให้เกิดการพัฒนา แพลทฟอร์มต่างๆ ที่ซัพพอร์ตการติดต่อสื่อสารและสนับสนุนวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ด้วย เช่น Hi-5 , Skype จนมาถึง Facebook , Youtube จนถึงแอพต่างๆ ในทุกวันนี้ โดยยุคนี้แหละ เรียกว่า ยุคที่ 3 หรือ ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันนั่นเอง!

Metaverse

ซึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังพอใจกับยุคที่ 3 ซึ่งแทบจะมีการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกสบาย ในช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก และไม่มีวี่แววว่าจะมีความนิยมลดลงแต่อย่างใด ผู้คนบางกลุ่ม เริ่มไม่พึงพอใจกับโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกต่อไปแล้ว โดยผู้คนเหล่านั้น มีแนวคิดว่า การติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่สมความจริงเท่าที่ควร ยังมีข้อจำกัดบางประการ โดยโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่สามารถทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการพูดคุยกันได้ เช่น มีกิจกรรมร่วมกัน เล่นกีฬาร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งจากความไม่พอใจนี้ และอย่างยิ่ง สถานการณ์โควิท-19 ทำให้พบว่า การกักตัวไม่เจอผู้คนเลยทำให้ข้อเสียของโซเชียลเน็ตเวิร์กยิ่งมองเห็นได้ชัดขึ้น!

จึงมีความพยายามที่ทะลายกำแพงเหล่านี้ ด้วยการสร้างเทคโนโลยีและแพลทฟอร์มใหม่ๆ ให้ผู้คนที่ได้ใช้งาน นอกจากติตต่อสื่อสารกันแล้ว ยังสามารถมีกิจกรรมร่วมกัน เสมือนได้เจอกันจริงๆ! โดยที่แท้จริงแล้ว ทุกคนนั่งอยู่บ้านนั่นเอง ใช่แล้ว และสิ่งนั้น ก็คือ Meta verse สิ่งที่ ณ เวลานี้ ยังเป็นสิ่งที่เรียกว่า ยุคที่ 4 ยุค โลกอนาคต ของพวกเรานั่นเอง

ข้อที่ 2 องค์ประกอบของ Metaverse ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด

Metaverse

ทุกคนบอกว่า Meta verse นั้นมันน่าสนใจและว้าวมาก! แต่พื้นฐานของ Metaverse นั้น แท้จริงแล้วเกิดขึ้นบนโลกมาตั้งนานมาก โดยเจ้า Meta verse หากจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่เคยมีแล้วในโลก มาประกอบรวมกัน ให้กลายเป็น Meta verse เทคโนโลยีดังกล่าว ก็คือ

Metaverse

1. เทคโนโลยี VR (Visual Reality)

เทคโนโลยี VR คือ เทคโนโลยีที่จะทำให้ผู้เล่นเสมือนเข้าไปอยู่ในโลกแห่งความจริง ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า แว่น VR ซึ่งผู้ผลิตจะทำการผลิตซอฟแวร์จำลองโลกเสมือนจริงบรรจุภายในแว่น VR ทำให้ผู้สวมใส่ ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ในโลกเสมือนจริง ที่มีกราฟฟิคสามมิติสวยงาม หรือ มีกราฟฟิคจำลองจากสถานที่จริงนั่นเอง

โดยประโยชน์ของแว่น VR ในปัจจุบัน จะใช้สำหรับการเล่นเกมต่างๆ ให้รู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เกมปั่นจักรยานออกกำลังกาย ที่แทนที่เราจะปั่นจักรยานอยู่ในยิมเหงาๆ เทคโนโลยี VR ก็จะทำให้เราได้สวมแว่น VR และปั่นจักรยานท่องไปยังสถานที่ต่างๆ เสมือนว่าเราได้ปั่นจักรยานไปที่นั่นจริงๆ  นั่นเอง

โดยอุปกรณ์แว่น VR เป็นสิ่งที่ยอดนิยมมาอย่างนานแล้วในวงการคนเล่น VR และ Mark เองก็คงมองเห็นตรงนี้ และทำการซื้อบริษัทผลิตแว่น VR ชื่อดังอย่าง Oculus และต้องการนำหลักการและเทคโนโลยี ของ VR มาสร้างให้เป็น Metaverse นั่นเอง

Metaverse

2. เทคโนโลยี AR (Augmented Reality)

เทคโนโลยี AR เองก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเทคโนโลยี AR นั้นแตกต่างจาก VR เล็กน้อย โดยเจ้าเทคโนโลยี AR คือการมอบประสบการณ์ความเป็นจริงเสมือน ให้กับผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องสวมใส่อุปกรณ์และเข้าไปในโลกใด แต่อยู่ในโลกจริงๆนี้ แต่จะมีการเพิ่มส่วนเสริมจริงเสมือนขึ้นมา

โดยเทคโนโลยี AR นั้นมีประโยชน์และจับต้องได้ง่ายกว่า VR มากเพราะยังคงอยู่ในโลกจริงๆ ของเรา และถูกนำมาใช้งานมากมาย เช่น Animoji ของ Apple ที่ถูกเปิดตัวตั้งแต่ iPhone รุ่น X ที่ทำให้หน้าตาคนเรากลายเป็น สิง สา รา สัตว์ ได้แบบสมจริง 

Metaverse

เทคโนโลยีการจำลองการวางเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายในบ้าน เพื่อที่ลองออกแบบและพิจารณาก่อนซื้อเฟอร์นิเจอร์จริงๆ ว่าถ้าวางแบบนั้น แบบนี้ จะเป็นอย่างไร ของ อีเกียร์

และที่ยอดนิยมสุดๆ คงหนีไม่พ้น เครื่องเล่นเกม Nintendo Switch และอุปกรณ์ Ring fit ที่เปิดประสบการณ์ในการออกกำลังกายผ่านการเล่นเกมในยุค ที่ทุกคนกักตัวได้ดีที่สุด!

จึงทำให้ AR ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้ Meta verse มีความสมจริงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

3. โซเชียลมีเดีย (Social Media)

และแน่นอน ทั้ง VR และ AR เอง ก็ยังคงทำงานแยกกันแบบต่างคนต่างทำอยู่  เช่น VR เกมก็มีหลายเกม หลายแพลทฟอร์ม AR เองก็มีหลายคนทำมาแตกต่างกัน โดยสิ่งที่ Mask ต้องการ คือการยกนำแพลทฟอร์ม Facebook ของเขา เข้าไปอยู่ใน Meta Verse เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อม VR และ AR ให้มาทำสิ่ง สิ่งเดียวกันนั่นเอง

แทนที่คุณจะชวนเพื่อนไปตีเทนนิส แล้วปิดการคอล ขับรถไปหาเพื่อน ก็เปลี่ยนเป็น สวมแว่น VR และ ตีเทนนิสกับเพื่อนๆได้เลย และชักชวนเพื่อนๆ อื่นๆ มาตีเทนนิสใน Metaverse ได้ เป็นต้น! ซึ่งหากในปัจจุบัน หากต้องการตีเทนนิสแบบเสมือนจริง จะยังไม่สามารถจอยกันง่ายได้แบบนั้น และอาจจะต้องเล่นคนเดียว

ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ Metaverse จะผสมผสาน ความเป็น โซเชียลเข้าไปช่วยแบบนั้นนั่นเอง

4. คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency)

แน่นอน หากมีโลกใหม่ ที่เป็นโลกเสมือนจริงแล้ว ย่อมมีการจับจ่ายใช้สอยในโลกเสมือนจริง ซึ่งเทคโนโลยีที่ดูจะทำได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้น การจับจ่ายใช้สอยด้วยสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี่) ผ่านเทคโนโลยี บล๊อกเชน นั่นเอง ซึงก็เป็นสิ่งที่มีมากว่า 10 ปีแล้ว และค่อยๆเพิ่มความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากใครยังไม่รู้จักกับคริปโต กดอ่านได้เลย เพราะถ้าหาก Mask ทำ Metaverse ได้จริงๆ ก็ต้องใช้เงินดิจิทัลกันอย่างแน่นอน!

เช่น หากเราต้องการที่ดินในโลกเสมือนจริง เราคงเอาเงินบาทไปจ่ายไม่ได้ ถ้าเขาขายเป็น NFT ที่ดินนี้ ตารางเมตรละ 0.05 ETH นะครับ เชิญเลือกชมได้ (ฮ่าๆๆ)

 

ข้อที่ 3 ปัญหาใหญ่คือเรื่องของฮาร์ดแวร์

Metaverse

ในโลกโซเชียลนั้น สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักสำหรับคอมพิวเตอร์ เพราะ Facebook นั้นเป็นเว็บไซต์หนึ่งที่สามารถเปิดด้วยเบราเซอร์ได้ แต่สำหรับ แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนล่ะก็ต ต้องบอกว่าโดยเฉพาะ มือืถอแอนดรอยน์นั้น ค่อนข้างแย่เลย กว่า สเปคของฮาร์ดแวร์ จะลื่นไหลเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ได้ง่าย

เช่นกัน สำหรับแว่น VR นั้นก็มีสเปคที่ตายตัวอยู่เหมือนกัน การจะแสดงผล VR ให้สวยงามแบบไร้ที่ติ นั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะ จอในแว่น VR นั้นมีความละเอียดสูงมาก เพราะการที่จะแสดงผลให้สมจริงเหมือนตาของคนเรานั้น ต้องการความละเอียดที่ไม่ต่ำกว่า 4K และการ์ดจอในตอนนี้ เล่นเกม 4K เปิด RT ปรับสุดยังเหนื่อยกันเลย อีกทั้ง ยังต้องมีจอถึงสองจอ เพราะมีตาสองดวง ซึ่งทั้งหมดนี้ หน่วยประมวลผลจะรับไหวหรือไม่ 

ลองจินตนาการดูนะครับ Intel Core i9 และ RTX3090 ต้องการการระบายความร้อนขั้นสุดยอด ถึงจะรับพลัของ 4K ไหว แต่แว่น VR นั้นแทบไม่มีอะไรที่จะช่วย ระบายความร้อนเลย ยังไม่นับเรื่องของพลังงานที่ต้องการอย่างสูง เรียกว่า ถ้าไม่ต่อไฟเล่น ก็คงจะประมวลผลได้ไม่มากนัก แต่ถ้าต่อไฟเล่น ใครจะสวมแว่นแล้วพก PowerBank คงไม่มีหรอก

เพราะฉะนั้น ปัญหาใหญ่ของการสร้างโลกเสมือนดั่ง หนังเรื่อง Ready Player One ก็คือเรื่องของเทคโนโลยีเรายังไม่พร้อมเนี่ยแหละครับ ในเร็วนี้สัก 5-10 ปี อาจจะทำได้ แต่ก็คงไม่เหมือนใน Presentation อย่างแน่นอน แต่ถ้าจะเหมือนแบบนั้นเลย ในอนาคต ยังไงก็เป็นได้ครับ แต่ก็ต้องการเวลา

ข้อที่ 4 ความยุ่งเหยิงระหว่างสังคมกับ AI

Metaverse

ยิ่งก้าวล้ำไปมากเท่าไหร่ ก็มักจะยิ่งพบกับความยุ่งเหยิงของ สังคมและ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มากเท่านั้น นี่แหละ คืออนาคต

ลองย้อนดูปัจจุบันนี้ AI ใน Facebook ทำงานได้ดีแค่ไหน? ทุกวันนี้ ยังคงมีการ แบนมั่ว ปิดบังโพส ต่างๆ เซ็นเซอร์ผิดพลาด ระบบความปลอดภัยบกพร่อง ถูกแฮคข้อมูล อยู่ร่ำไป ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สเถียรเท่าที่ควร ใน Metaverse เองก็เช่นกัน เตรียมรับกับความยุ่งเหยิงแบบทวีคูณได้เลย

หากคนเราต้องเจอหน้ากัน ทำกิจกรรมด้วยกัน แล้วเกิดปัญหา AI ขึ้นมา คงน่าหงุดหงิดมากกว่าเดิม ร้อยเท่าพันเท่าไม่น้อย

เรื่องของกฏหมายเองก็ไม่แพ้กัน การอยู่ในโลกเสมือนนั้นต่างจากการไถเฟสบุคส์พอควร เมื่อผู้คนทั่วโลกอยู่ในโลกเสมือน ความยุ่งเหยิงที่ทางทีม ของ เฮีย Mark เองก็คงต้องทำการบ้านอย่างดีเลย

ทุกวันนี้ ผู้คนต่างแยกแยะความเป็นจริงในโลกจริง กับ โลกเชียลไม่ค่อยออกกันพอสมควร ดูได้จากโพสดราม่าต่างๆ ที่ต่างมีคนไปสาบแช่ง ราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับตนเอง ซึ่งลองคิดดูว่าถ้าทุกคน อยู่ในโลกเสมือนแล้วมีพฤติกรรมดังกล่าว คงจะเพิ่มความอินให้กับผู้ใช้ จนอาจจะแยกแยะโลกจริงกับโลกเสมือนไม่ได้ ฟังแล้วคงจะหน้าวุ่นวายใจเลยไม่ใช่น้อย

ข้อที่ 5 ราคาที่ต้องจ่ายหากคุณต้องการ

Metaverse

โซเชียลเน็ตเวิร์กเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ และปัจจัย 4 ไปโดยปริยาย การที่ต้องมีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตติดตัวอยู่ตลอด กลายเป็นสิ่งปกติ ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ หรือวัยชรา ต่างก็ไม่ละจากสองสิ่งนี้ ซึ่งในอดีตนั้น สมัยผมเด็กๆ การมีโทรศัพท์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก เมื่อเทียบกับสมัยนี้ เพราะราคาของอุปกรณ์ค่อนข้างแพงมากๆ หากบ้านจนจริงๆ อาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเลย

และแน่นอน แว่น VR เครื่อง AR ต่างๆ ในปัจจุบัน ยังมีมูลค่าสูงมากๆ รวมถึง มูลค่าที่ต้องจ่ายในการเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วย ซึ่งแอดเองก็จินตนาการไม่ออกว่า กว่าแว่น VR จะไฮเทคพอ และราคาย่อมเยาเข้าถึงทุกเพศทุกวัย จะต้องกินเวลาไปอีกกี่สิบปี ซึ่งหากคุมเรื่องราคาไม่ได้ล่ะก็ Metaverse เองก็เกิดยากเช่นกัน

สรุป!

Metaverse ไม่ใช่สิ่งใหม่ หากทุกคนได้อ่านแล้วจะเข้าใจว่า มันคือคอนเซป หรือ การมองการไกลของ เฮีย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะจะทำให้โลกเราล้ำยุคขึ้น ที่แอดเขียนบทความนี้เพราะอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงความเป็นไปได้ แน่นอน เฮีย Mark เองก็คงไม่ได้เริ่มต้นฟรีๆ ก็ต้องมีในแง่ของการตลาดเข้ามาพ่วงด้วย

เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ฝันอยากจะมีโลกแบบ Ready Player One ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกเทคโนโลยี เป็นไปได้ครับ แต่ก็อาจจะต้องตั้งหน้าตั้งตารออีกไม่ต่ำกว่า 10 ปี และก็ต้องทำใจไว้ว่า ไม่ได้จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ อย่างแน่นอนครับ

 

หากชอบบทความของเรา สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการ

 กดไลค์ GagangTech และติดตามช่อง Youtube GagangTech

– แล้วไว้เจอกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ –

ติดตามพวกเราได้ที่

Website

Facebook

Youtube

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.