นอกจาก iPhone SE 2022 ที่มีการเปิดตัวในงาน Apple Event แรกของปี 2022 ยังมีอุปกรณ์หนึ่งที่เรียกได้ว่า เป็นเซอไพรส์ของ Apple เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ iPad Air 5 (2022) นั่นเอง!
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน iPhone SE 2022 >> คลิกอ่านเลย
ถึงแม้ว่าข้อมูลจากหลายสำนัก จะถูกหลุดออกมาแล้ว แต่มีอีกหลายเรื่องที่ ทำเอาสาวก ต้องร้องว้าวไปตามๆกัน รวมถึงการที่ iPad Air 5 เปิดตัวในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้ iPad Pro รุ่นเก่าๆ ดูหมองไปเลยทีเดียว!
วันนี้ GagangTech จะพาทัวร์ชม iPad Air 5 เปิดตัวรุ่นใหม่นี้ ว่ามันน่าสนใจอย่างไร คุ้มค่าตัวหรือคุ้มค่าที่จะอัพหรือไม่ ไปดู!
ยินดีต้อนรับสู้ครอบครัว iPad Chip M1
ถึงแม้ว่าชิป Apple M1 จะเปิดตัวมานาน และนำไปใช้กับ iPad Pro ก่อน จนมีรุ่นแตกย่อยออกมาเยอะ แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ดี ที่ชิป Apple M1 ถูกนำมาใช้กับ iPad Air 5 ซึ่งเป็น iPad ที่ถูกวางไว้อยู่ในระดับ กลาง และราคาถูกกว่า iPad Pro พอสมควรเลย
และทุกคนต่างรู้ดี ว่าชิป Apple M1 นั้น ก้าวกระโดดไปไกลกว่า ชิป Apple A Serise เพราะมันถูกนำมาใช้ในเครื่อง Mac และ Macbook ด้วย ซึ่งประสิทธิภาพของ Apple M1 นั้นค่อนข้างที่จะน่าพอใจและมากกว่า Apple A อย่างมาก
ดังนั้น การนำ ชิป Apple M1 มาใช้ใน iPad Air 5 รุ่นล่าสุดนี้ ต้องบอกเลยว่า มันค่อนข้างสุดคุ้มค่าสำหรับสาวก iPad Air ที่จะได้ใช้ชิปตัวแรงของ Apple ในราคาที่ประหยัดลงมาอีกนั่นเอง
หากใครยังไม่รู้จักชิป Apple M1 ลองอ่านสองบทความนี้ดู จะช่วยให้คุณเข้าใจขึ้นมาก
เจาะลึก ชิป Apple M1 คืออะไร ตอนที่ 1 อนาคตใหม่ของ Apple
เจาะลึก ชิป Apple M1 ตอนที่ 2 กับ 5 เหตุผลที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยน
โดยในบทความนี้ เราจะพูดเล็กน้อยเกี่ยวกับ ชิป Apple M1 เท่านั้น เมื่อเทียบกับ Apple A14 Bionic ที่อยู่ใน iPad Air 4 ว่าแตกต่างกันอย่างไร

ความแรงของ M1 เมื่อเทียบกับ A14

โดย Apple M1 นั้นถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมการผลิต 5 nm เช่นเดียวกันกับ ชิป Apple A14 Bionic ในรุ่นที่แล้ว แต่จะแตกต่างกันคือ Apple M1 จะมีความอัดแน่นของจำนวนทรานซิสเตอร์ มากกว่าถึง 45% เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนจะพบว่า มันหนาแน่นมากกว่าเป็นจำนวนเกือบครึ่งเลย
และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้ Apple M1 แรงมากกว่ากว่า Apple A14 ในทุกมิติ
- Apple M1 มีคอร์ 8 คอร์ เยอะกว่า 2 คอร์ (A14 มี 6 คอร์)
- จำนวน GPU Core มากกว่า 2 เท่า (Core , E-unit , Shader Unit)
- เร่งความเร็วได้สูงสุด 3.2GHz
- โครงสร้างภายในแตกต่างกัน M1 จะเป็น 4+4 big.LITTLE ซึ่งใหญ่กว่า A14 ที่มีโครงสร้างเป็น 2+4 big.LITTLE.
- ประสิทธิภาพของ M1 จะเทียบได้ราวๆมี A14 2 ตัวช่วยกันทำงาน
ซึ่งจะทำให้ iPad Air 5 ไม่เพียงแต่ใช้เอนเตอร์เทนอย่างเดียว ยังสามารถใช้ทำงานแบบ Full Option ได้ไม่แพ้ iPad Pro รุ่นก่อนหน้าเลยทีเดียว และเมื่อเทียบกับ iPad Pro รุ่นก่อนๆ ในด้านการประมวลผล ที่เคยอยู่ในระดับทัดเทียมกัน กลับกลายเป็นว่า iPad Air 5 ในครั้งนี้ แรงกว่าจนทิ้งห่างเป็นทุ่งได้เลย
อัพเกรดสเปคแรม เพิ่มขึ้น สองเท่า!

สิ่งที่ดีงามของ iPad Air 5 นี้ก็คือ การอัพสเปคแรมให้เพิ่มขึ้นสองเท่า! โดยจากเดิม iPad Air 4 รุ่นก่อนหน้า มีสเปคแรมอยู่ที่ 4GB ถูกอัพเกรดสเปคแรมขึ้นให้ iPad Air 5 สเปคแรมเป็น 8GB แทน ซึ่งต้องบอกเลยว่า Ram 8 GB นั้นเยอะกว่า iPad Pro รุ่นเก่าทุกๆรุ่นที่ผ่านมา และเยอะเท่ากับ iPad Pro รุ่นล่าสุดเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกของ iPad Air เลยก็ว่าได้ ที่ใส้ในของ iPad Air 5 สเปคทัดเทียมกันกับ iPad Pro ตัวปัจจุบัน ซึ่งจัดว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะต่อให้ iPad Air จะรุ่นใหม่กว่า แต่ใส้ใน จะไม่มีวันเหนือไปกว่า iPad Pro รุ่นปัจจุบัน โดยจะแรงหรือเท่ากันกับ iPad Pro รุ่นก่อนเท่านั้น!
อัพเกรดการเชื่อมต่อ รองรับ 5G

สิ่งที่เพิ่มขึ้นให้ทัดเทียมกับ iPad Pro ปัจจุบันก็คือ การรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ 5G ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า เบสิคในยุค 2022 เรื่องนี้แอดไม่ค่อยตกใจมากนัก เพราะยังไงเสีย เทคโนโลยี 5G ก็ยังคงมีราคาแพงในบ้านเรา ซึ่งก็เป็นการเพิ่มทางเลือก ว่าถ้าอยากได้ 5G ไม่จำเป็นต้องไปซื้อแค่ รุ่น Pro แล้ว ถ้าใครจ่ายไหว ก็แนะนำให้จัด iPad Air 5 รุ่นที่รองรับ Cellular โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องความเร็วของ 5G ได้เลย
สิ่งที่ iPad Air 5 ต่างจาก iPad Pro 2021
สำหรับใครที่ลอยคอ รอคอยในการจับจอง iPad Air รุ่นที่ 5 อยู่ แล้วยังลังเลว่าจะเอารุ่นไหนดี รอบนี้แอดใส่มาให้ในบทความนี้กันไปเลย มาดูทีละข้อกันว่า จำเป็นหรือไม่
หน้าจอ Pro Motion ยังไม่มีใน iPad Air 5

อีกหนึ่งเรื่องคือ iPad Air 4 กับ iPad Air 5 มีหน้าจอที่เหมือนเดิมเป๊ะ คือหน้าจอ Liquid Retina แบบ 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 ทำงานที่ความถี่ Refresh Rate 60Hz
ซึ่งต้องบอกเลยว่า หน้าจอแบบ Pro Motion ยังคงมีอยู่ในแค่ iPad pro เท่านั้น ซึ่งคุณจะได้หน้าจอที่มี Refresh Rate 120Hz ทำให้การทำงานต่างๆ ราบรื่น สมูทเนียนตา เล่นเกมที่เคลื่อนไหวเร็วๆ ได้ทันใจ ตอบสนองดีกว่า ซึ่งหากใครไม่ได้ซีเรียสตรงนี้ ก็ให้มองข้ามข้อนี้ไปซะ
Touch ID คงเดิม vs Face ID แบบอัพเดทใหม่

นอกจากเรื่องของหน้าจอที่ iPad Air 4 กับ iPad Air 5 ไม่แตกต่างกันแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือ รูปทรง ดีไซน์ของบอดี้ และ ระบบ Touch ID ด้านบน ที่ยังคงเดิม ซึ่ง ดีไซน์นี้ของ iPad Air นั้นสวยแล้ว และสามารถใช้ได้อีกหลายปี แต่เรื่องของ Touch ID นี่ แล้วแต่คนถนัด
แต่ถ้าเทียบกับ iPad Pro แล้วในยุคโควิท ก็ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่ทำให้ iPad Air 5 แตกต่างกับ iPad Pro 2021 โดยสิ้นเชิง เพราะดูเหมือนว่าการสแกนนิ้ว จะสะดวกสบายมากกว่า การต้องมาเปิดหน้าสแกนในที่สาธารณะ
แต่!! เมื่อไม่นานมานี้ iPhone 12 ขึ้นไป หากอัพ IOS รุ่นล่าสุด (15.4) แล้วคุณสามารถปลดล๊อก Face ID ด้วยการสแกนหน้า ผ่าน แมสได้!! (หน้ากากอนามัย) ต้องบอกเลยว่า ด้วยคุณสมบัติอันอัจฉริยะนี้ ทำให้ iPhone ที่ใช้ระบบ Face ID กลับมาง่ายและคล่องแคล่วมากกว่า Touch ID อีกครั้ง เพราะไม่ว่าเราจะใส่แมส หรือ แว่นตา ในที่สาธารณะ หรือที่ใดๆ เราก็สามารถปลดล๊อก iPhone ทะลุผ่านแมสได้ปกติแล้ว!
ซึ่งฟังก์ชั่นอันหน้าทึ่งนี้ทำให้ ผู้ใช้ iPhone ปลื้มปิติไปตามๆกัน และเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่ Apple สามารถแก้ปัญหาด้วยซอฟแวร์ได้โดยไม่ต้องออกฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ iPad Pro 2021 จะยังไม่สามารถทำได้ แต่ในอนาคต อาจจะไม่แน่
ดังนั้น หาก iPad Pro 2021 ได้รับการอัพเดทให้สามารถปลดล๊อกผ่านแมสได้ ก็ต้องบอกว่า ยังไงมันก็สะดวกสบายกว่า Touch ID หลายเท่าครับ
ระบบลำโพงคู่หน้าหลัง ต่างกันเหมือนเดิม

แม้ว่าสเปคภายในจะถูกอัพเกรดให้ทัดเทียมกันในหลายๆด้านแล้ว แต่ตามธรรมเนียมของ Apple iPad Air แม้ว่าจะเป็นรุ่นใหม่นี้ แต่สเปคลำโพงนี้ก็ยังคงเดิมไม่ได้ถูกอัพเกรดแต่อย่างใด
โดยจะมาพร้อมกับลำโพง 2 ตัว ในแบบแนวนอน (บน และ ล่าง) ซึ่งจะให้เสียงแบบ Stereo แยกซ้ายขวาเท่านั้น ซึ่งแน่นอนในเรื่องของความดัง ก็ถือว่าทำได้ดีเหมือนเดิม แต่ในเรื่องของ อรรถรส ถ้าใครซีเรียสเรื่องเสียง ก็คงต้องยอมแพ้ให้กับ iPad Pro 2021 ที่มีลำโพงแบบ 4 ตัว ที่ให้เสียงแบบรอบด้าน (Surround) เร้าใจ สมจริงมากกว่า
ดูเหมือนว่า Apple ยังต้องการให้ระบบเสียงของ iPad Air 5 แตกต่างจาก iPad Pro 2021 อยู่ไปอีกหลายรุ่นเลย (ตั้งแต่ Air 3 แล้ว) ดังนั้น หากใครซีเรียสเรื่องเสียง แนะนำให้ซื้อลำโพง Bluetooth แยกดีๆ จะคุ้มค่ากว่า
ระบบกล้องคงเดิมทุกอย่าง

แน่นอนว่าหากใครคาดหวังเรื่องกล้องล่ะก็ ให้รีบตัดใจแล้วไปมองรุ่น Pro ดีกว่า เพราะระบบกล้องใน iPad Air รุ่น 5 ยังคงเดิมเหมือนกับ iPad Air 4 ทุกอย่าง
โดยจะได้กล้องหลังความละเอียด 12 MP ค่ารูรับแสง 1.8 ยังคง Zoom ได้ 5 เท่า และมีแค่เลนส์เดียว
ส่วนกล้องหน้า จะได้อัพเกรดขึ้นมาให้ เป็นกล้องอัลตร้าไวด์ มีความละเอียดอยู่ที่ 12 MP ค่ารูรับแสง 2.4 มีการปรับ Zoom เข้าออกเล็กน้อยได้ เหมือนกับ iPad Pro 2021 ทุกประการ แต่กล้องหน้าเราคงเอาไว้ใช้ในการ คอลวีดีโอเท่านั้น
ซึ่งโดยภาพรวมแล้ว iPad Air 5 แตกต่างกับ iPad Pro 2021 พอสมควรเลย หากซีเรียสเรื่องกล้องให้ไปมอง iPad Pro หรือ iPhone 13 Pro จะดีกว่า
สเปคอย่างอื่น ทุกอย่างยังคงเดิม เพิ่มเติมคือสีใหม่

iPad Air จะเก่งและถนัดมากๆ ในเรื่องเอาใจวัยรุ่น เพราะการเปิดสีมาในแต่ละรอบนี่ ต้องบอกเลยว่า มันแจ่มแมวเสียจริงๆ โดยรอบนี้มีการปรับปรุงสีใหม่ ค่อนข้างสวยงามมากกว่ารอบที่แล้วเยอะเลยทีเดียว
โดย iPad Air 5 เปิดตัวมาทั้งหมด 5 เฉดสี ซึ่งมากกว่า iPad Pro ที่มีแค่ 2 สีหลัก (เทาสเปซเกรย์ , ซิลเวอร์) และรอบนี้ มีเพียงแค่สีเทาสเปซเกรย์ ที่ซ้ำกับ iPad Pro สีเดียวเท่านั้น
โดยอีก 4 สีนั้นจะเป็นสีใหม่ทุกสี ที่ไม่มีใน iPad Air 4 รุ่นก่อนหน้า เป็นสี
- สตาร์ไลท์ (รุ่นก่อน สีเงิน)
- ชมพู (รุ่นก่อน สี โรสโกลด์)
- ม่วง แบบเดียวกับ iPhone 12 (รุ่นก่อน สีเขียว)
- ฟ้าน้ำทะเล ที่เข้มขึ้น (รุ่นก่อน สกายบลู)
- และสีเทาสเปซเกรย์เหมือนเดิม
แอดต้องบอกเลยว่า สวยทุกสีเลยทีเดียว แต่แอดแอบเสียใจเล็กน้อย ที่ สกายบลู กับ เขียวไม่ได้มาในรอบนี้ เพราะสองสีนี้ จัดว่าเป็นสีที่สวยงามมากในรุ่นก่อนหน้า
สรุป
iPad Air 5 สเปคที่เปิดตัวในครั้งนี้ นอกเหนือจาก สเปคใส้ในที่เป็นชิป M1 กับ Ram 8GB และสีเฉดใหม่แล้ว นอกนั้นก็เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนเดิมทุกๆ อย่าง แต่เท่านี้แอดก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆแล้ว
โดยข้อสังเกตุเดียวคือ เหมือนกับว่า ราคาของ iPad Air จะแพงขึ้นมา 1,000 บาท จากค่าเงินบาทในบ้านเราที่มีแนวโน้มเฟ้อสูงขึ้น ทำให้รุ่นเริ่มต้น นั้นขยับจาก 19,900 เป็น 20,900 บาท และรุ่น Cellular จาก 24,900 เป็น 25,900 บาท
ซึ่งตรงนี้ มันทำให้ราคา iPad Air 5 ในรุ่น WiFi 64GB ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ iPad Pro 2021 ในรุ่น WiFi 128GB เข้าไปทุกที ก็ต้องช่างน้ำหนักเรื่องของความคุ้มค่าเอากันเองแล้วกัน ว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจโลก หรือว่าเป็นเพราะลุง!!
อ่ะไม่ช่าย.. ว่าจะเอา iPad Air 5 หรือ เพิ่มเงิน 2,000 เพื่อไปเอา iPad Pro 2021 ตัวไหนคุ้มกว่ากัน!!
และสำหรับใครที่ต้องการสั่งซื้อ iPad Air 5 สามารถกดได้ในช่องทางด้านล่างนี้ ที่แอดจะฝากให้นะครับ
ลิงค์สำหรับสั่งจอง iPad Air 5 ผ่าน เว็บไซต์ Apple Store คลิก
หากชอบบทความของเรา สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการ
กดไลค์ GagangTech และติดตามช่อง Youtube GagangTech
– แล้วไว้เจอกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ –