จากบทความที่แล้วที่พูดถึง วิธีการเลือกซื้อ Mechanical Keyboard แบบต่างๆ ไปจนหมดแล้ว ซึ่งเป็นการเลือก Layout ของคีย์บอร์ดกันก่อน ว่าชอบ Layout ขนาดแบบไหน ซึ่งหากใครยังไม่ได้อ่านบทความที่แล้วล่ะก็ สามารถกดเลือกอ่านได้ในสารบัญได้เลย
และบทความนี้ จะมาเจาะลึกวิธีการเลือก Switch กันต่อ ว่าหากเราจะเลือก Mechanical Keyboard ตาม ฟิลลิ่งการพิมพ์ เราจะเลือก Switch แบบใด ในบทความนี้ ขอใช้ตัวอย่างเป็น Cherry Switch เป็นหลัก และอนาคตจะมีการอัพเดทบทความ Switch รุ่นอื่นๆ ให้ด้วย
เจาะลึก!
Mechanical Keyboard
The Series
คีย์บอร์ด Cherry Switch คืออะไร?
อย่างที่ทราบกันว่า Mechanical keyboard จะมีการใช้ Switch เป็นองค์ประกอบในการรับแรงกด ซึ่ง Switch ต่างๆ จะแยกฟิลลิ่งการกด ตามกลไกของ Switch ที่จะมีให้เลือก 2 แบบ นั่นคือ
- Linear Switch
- Tactile Switch
และในแต่ละกลไก จะมีแยกรุ่นย่อยๆไปอีก จึงมักจะทำเป็นสีๆ เพื่อให้เรียกได้ง่ายนั่นเอง
และที่ยอดนิยมในปัจจุบัน จะเป็น คีย์บอร์ด Blue Switch ที่เป็น Switch แบบ Tactile ที่มีเสียงไพเราะเสนาะหู(หรือน่ารำคาญ) ทำให้ดึงดูดเหล่าเกมเมอร์ไปได้จำนวนมากเลยทีเดียว
คีย์บอร์ด Blue Switch โดยเฉพาะสวิตซ์ของทาง Cherry Switch จัดว่าเป็นคีย์บอร์ดที่ยอดนิยมสำหรับนักแคสเกมและสตรีมเมอร์อย่างมาก (เวลาดูไลฟ์อาจจะได้ยินเสียง คลิ๊กๆ เวลากด)

ซึ่ง คีย์บอร์ด Blue Switch นั้นต้นตำรับที่คิดค้นเลยก็คือ Cherry Switch แบรนด์ Switch ชั้นนำจากประเทศ เยอรมณี ซึ่งเป็นประเทศที่มีแหล่งผลิตสินค้าต่างๆ ที่มีคุณภาพมาก (ดูจากรถยุโรปต่างๆ มักผลิตจากเยอรมัน) โดย Cherry Switch ยังรับประกันความทนทานในการกดถึง 100 ล้านครั้งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ปัจจุบันก็จะมีคีย์บอร์ด Blue Switch จากแบรนด์อื่นๆ ที่คล้ายๆกับ Cherry Switch อยู่ เช่น Gateron Switch หรือ kailh Switch จากประเทศจีน ที่ทนทานน้อยกว่า ราคาถูกกว่า และสามารถใช้ Keycap หรือ แผงวงจร ร่วมกันกับ Cherry Switch ได้อีก นับว่าเป็นทางเลือกเพิ่มเติมที่ดีเลย
คีย์บอร์ด Cherry Switch แต่ละสี มีฟิลลิ่งการกดเป็นอย่างไร?
1. สวิตซ์แบบ Linear (แบบจังหวะเดียว)
Linear Switch คือ สวิตซ์ที่มีฟิลลิ่งการกด แบบจังหวะเดียว เมื่อเรากดลงไปบนคีย์บอร์ด จะมีการตอบสนอง ปุ่มจมลงและเด้งกลับแบบทันที ทำให้เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการการตอบสนองไว ต้องการความเด็ดขาด ซึ่งฟิลลิ่งการกดนั้นจะแตกต่างจาก คีย์บอร์ด Blue Switch ที่เป็น Switch แบบ Tactile นั่นเองครับ
1. Cherry MX Black Switch
คีย์บอร์ด Black Switch เป็นสวิตซ์ที่หาพบเจอได้ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นต้นตำหรับของ Mechanical Keyboard Cherry Switch เลยก็ว่าได้ และเป็นสวิตซ์ที่มีความขลังในตัวพอสมควร
- ใช้น้ำหนักในการกดประมาณ 60cN (60 Centinewton) เป็นหน่วยวัดแรงกด หรือวัดเป็นหน่วยความหนักของแรงได้ราวๆ 0.0611829 กิโลกรัม
Feeling : ความหนักหน่วงนี้ทำให้เราต้องออกแรงกดค่อนข้างมากกว่าปกติ หากกดนานๆ ทำให้อาจจะเมื่อยมือได้ง่าย แต่ด้วยน้ำหนักนี้แหละ ที่ทำให้ Back Switch ยอดนิยมในหมู่เกมเมอร์เกม FPS เพราะน้ำหนักเยอะจึงไม่ลั่นง่าย

การทำงานของ Cherry MX Black Switch

หน้าตาของ Cherry MX Black Switch
2. Cherry MX Red Switch
คีย์บอร์ด Red Switch เป็นสวิตซ์ที่พัฒนามาจากต้นตำหรับอย่าง Black Switch ทำให้มีคุณสมบัติคล้ายกับ Black Switch ทุกประการ
- แต่มีการปรับลดน้ำหนักการกดให้เหลือเพียง 45cN ทำให้ใช้แรงน้อยลง กดง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้แรงมากมาย และทำให้รู้สึกนิ่ม และช่วยให้เมื่อยน้อยลงพอสมควร
Feeling : การกดจะเป็นการกดจังหวะเดียวแล้วเด้งสปริงขึ้นทันที กดหนักๆ ให้เสียงดังพอประมาณ หากต้องการฟิลลิ่งคล้าย Black Switch แต่เมื่อยน้อยกว่า ก็ต้องเป็น Red Switch เนี่ยแหละ
คีย์บอร์ด Red Switch พบเจอได้ในปัจจุบัน และเป็นที่ยอดนิยมสำหรับเหล่าเกมเมอร์มากๆ ไม่แพ้กับ คีย์บอร์ด Blue Switch เลยครับ

การทำงานของ Cherry MX Red Switch

หน้าตาของ Cherry MX Red Switch
3. Cherry MX Silent Red Switch
Silent ที่แปลว่าเงียบ หรือ Pink Switch เป็นสวิตซ์ที่พัฒนามาจาก Red Switch โดยเสปคทุกอย่างใกล้เคียงกับ Red Switch แต่ถูกพัฒนามาให้เงียบมากขึ้น
สำหรับคนที่รำคาญเสียงของ Red Switch สายเกมเมอร์แอบเล่น กดเงียบๆ กลัวเมียหรือแม่ด่า ก็ต้องอัพเกรดเป็นตัวนี้ล่ะครับ

การทำงานของ Cherry MX Silent Switch

หน้าตาของ Cherry MX Silent Switch
4. Cherry MX Speed Silver Switch
คีย์บอร์ด Switch Speed สีเงินตัวนี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยเสปคต่างๆจะคล้ายๆกับ Red Switch และ Silent Switch เพียงแต่ว่าเค้าจะมีความเร็วในการรับและโต้กลับไวกว่าสองสวิตซ์ข้างต้นมากๆ
โดยไวกว่า Red Switch ราวๆ 40% เลยทีเดียว โดยมันไวขนาดไหน มันไวขนาดที่ เรายังไม่ทันกดปุ่มได้จมแป้น มันก็ทำงานแล้ว (แค่วางนิ้ว คีย์บอร์ดก็ทำงานแล้ว)
สำหรับคนที่ต้องการตอบสนองไวและนิ่มมากๆ แนะนำเป็นตัวนี้เลยแหละครับ

การทำงานของ Cherry MX Speed Switch

หน้าตาของ Cherry MX Speed Switch
2. สวิตซ์แบบ Tactile (สองจังหวะ)
มันก็เหมือนกับ หยินหยาง มีดำก็ต้องมีขาวอ่ะครับ สองสวิตซ์นี้ต่างกันสุดขั้ว Linear จะเป็นสัมผัสแบบจังหวะเดียว
แต่ Tactile คือการสัมผัสสองจังหวะ กล่าวคือ เมื่อเรากดคีย์แคปเข้าไป จะได้รับการตอบสนองสองครั้ง เหมือนเรากดเข้าไปครึ่งนึง และกดอีกจะเป็นการกดให้เต็มจังหวะ สามารถใช้แรงนิดเดียวเพื่อกดครึ่งจังหวะได้
โดยที่คีย์บอร์ดจะไม่ทำงานได้ (พักมือบนคีย์บอร์ด) โดย Switch แบบ Tactile นี้จะทำให้ Mechanical keyboard เป็นคีย์บอร์ดที่นอกจากจะยอดเยี่ยมในเรื่องของเกมแล้ว ยังยอดนิยมสำหรับการใช้ในการพิมพ์งานเอกสารอย่างมาก
โดยเฉพาะกับ คีย์บอร์ด Blue Switch เนื่องจากมีรสสัมผัสเหมือนกับการพิมพ์ดีด (ชาวออฟฟิศหลายๆคนคงชอบ)
1. Cherry MX Blue Switch
ถ้าคีย์บอร์ด Black Switch คือต้นตำหรับของ Switch แบบ Linear คีย์บอร์ด Blue Switch ก็คือต้นตำหรับของ Tactile หรือ สวิตซ์แบบสองจังหวะ
- โดย Blue Switch นั้น มีการใช้แรงกดประมาณเดียวกันกับ Black Switch เลย คือ 60cN แต่จะเป็นแบบ Tactile กดมากๆมีเมื่อยเหมือนกัน
Feeling : จะมีสองจังหวะ เมื่อเราวางมือไปก็คือจังหวะแรกแล้ว โดยผิวสัมผัสก็จะฟินๆ เพราะเสียงของคีย์บอร์ด Blue Switch นั้นช่างไพเพราะเหลือเกิน (หรือน่ารำคาญโคตรๆสำหรับมนุษย์ที่อยู่ข้างๆเรา)
เสียงมันจะดัง คลิกๆ หรือเรียกกันว่า Clicky Sound ซึ่งทำให้หลายๆคน รวมถึงแอดที่ใช้ คีย์บอร์ด Blue Switch พิมพ์งานทุกวัน ชอบใช้มากๆ

การทำงานของ Cherry MX Blue Switch

หน้าตาของ Cherry MX Blue Switch
2. Cherry MX Brown Switch
คีย์บอร์ด Brown Switch คืออีกหนึ่งสวิตซ์ที่ฟินในการพิมพ์งานและหลายๆคน ก็ชอบเอามากๆ (แอดเพิ่งซื้อให้คุณลุงไปเครื่องหนึ่ง ชอบมาก)
- ฟิลลิ่งของบราวด์จะเหมือนบลูทุกอย่าง เพียงแต่น้ำหนักจะน้อยกว่าบลูเล็กน้อย โดยน้ำหนักอยู่ที่ 55cN ทำให้กดง่ายกดสนุกกว่าบลู
และไม่มีเสียง Clicky sound เหมือน Blue นั่นเอง เสียงมันก็จะเงียบกว่า บลูค่อนข้างประมาณหนึ่ง แต่ก็ฟังดีๆ อาจจะใกล้เคียง Red Switch
แต่ก็ได้ฟิลลิ่งที่เหมาะสมต่อการพิมพ์งานเหมือนเครื่องพิมพ์ดีดเช่นเดียวกันกับ Blue Switch และยังมีความนิ่มกว่า เมื่อยน้อยกว่าด้วยโดยทั้ง Blue และ Brown เอาไปเล่นเกมก็สนุกเหมือนกันนะ

การทำงานของ Cherry MX Brown Switch

หน้าตาของ Cherry MX Brown Switch
3. Cherry MX Clear Switch
คีย์บอร์ด Clear Switch คือสวิตซ์ Silent ในเวอร์ชั่นของ Tactile นั่นเอง แต่มีความแข็งกว่าคีย์บอร์ด Blue Switch เล็กน้อย
โดยน้ำหนักจะอยู่ที่ 65cN และมีการกดแบบเดียวกับ บลูและบราวด์ อีกทั้งยังเงียบพอสมควรเลย ลดความรำคาญไปได้เยอะ สวิตซ์ตัวนี้ยังไม่ค่อยแพร่หลายในเมืองไทยเท่าไหร่นัก

การทำงานของ Cherry MX Clear Switch

หน้าตาของ Cherry MX Clear Switch
4. Cherry MX Green Switch
คีย์บอร์ด Green Switch คือสวิตซ์อัพเกรดจากบลู (ไม่ใช่ Green Switch ของ Razor นะ)
มีน้ำหนักมากกว่า และยังมากกว่าแบล๊กอีก เรียกได้ว่า ใครพิมพ์งานแล้วกลัวลั่น กลัวผิดมากๆ ต้องตัวนี้ เพราะมีความหนักถึง 80cN พิมพ์แล้วเมื่อยจัดๆ
หากใครชอบรสสัมผัสของการพิมพ์ดีด และต้องการเสียงที่ไพเพราะ เสียงของกรีนสวิตซ์จะคล้ายๆกับบลู โดยรวมไพเพราะเช่นเดียวกัน สวิตซ์ตัวนี้ยังไม่ยอดนิยมเช่นกันเพราะ ยังไม่แพร่หลายมากครับ แต่โดยรวมแล้วแอดคิดว่า กดบลูต่อไปแหละ เพราะบลูก็เมื่อยแล้ว

การทำงานของ Cherry MX Green Switch

หน้าตาของ Cherry MX Green Switch
สรุป!
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ Cherry Switch แบบครบทุกสี จะเห็นว่านอกจากคีย์บอร์ด Blue Switch แล้วยังมีคีย์บอร์ด Switch สีอื่นๆ ที่น่าลองอีกเพียบ ซึ่งในบทนี้ก็คงจะจบแล้ว เรื่องของการเลือกซื้อ Mechanical Keyboard
หากเพื่อนๆอ่านตั้งแต่ บทที่ 1 จนถึง บทที่ 3 แล้วก็แนะนำให้ไปลองกอดดูแต่ละ Switch ได้เลย ว่าชอบ Switch แบบไหน แล้วสามารถเลือกซื้อได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วไป
แต่ ถ้าหากใครที่ซื้อ Mechanical Keyboard มาแล้ว เปลี่ยนใจ อยากใช้ Switch สีอื่นล่ะก็ รู้หรือไม่ Mechanical Keyboard สามารถปรับแต่งแทบทุกแอย่างเลยแหละ เพื่อนๆ สามารถเปลี่ยน Switch และ Keycap เป็นในแบบที่ตนเองต้องการได้ ทุกปุ่มเลยทีเดียว
แต่วิธีการเปลี่ยนนั้น มีทั้งง่ายและยาก ซึ่งถ้าอยากเอา Mechanical Keyboard ของตนเองมาปรับแต่งล่ะก็ แนะนำให้อ่าน ในบทที่ 4 จะเป็นวิธีการ Modify Mechanical Keyboard ได้ต่อไปครับ
และสำหรับ Mechanical Keyboard สมัยใหม่ ที่เป็นการเชื่อมต่อแบบ Wireless ก็นิยมขึ้นมากแล้วนะ ลองเปิดประสบการณ์ดูได้ ใน บทที่ 5 ต่อได้เลย
เจาะลึก!
Mechanical Keyboard
The Series
อย่างไรก็ตามหากชอบบทความอย่าลืมติดตามเพจ GagangTech และช่อง Youtube GagangTech เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วย